วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ความสุขของกะทิ (ปกแข็ง)


ความสุขของกะทิ (ปกแข็ง)
รหัสสินค้า : 51-0002
ผู้แต่ง งามพรรณ เวชชาชีวะ
รูปเล่มใหม่...ของขวัญแด่ผู้อ่าน เพื่อเก็บรักษาวรรณกรรมชิ้นเล็กๆ ที่ร้อยสายใจสู่ความสุขในวงกว้าง
จำนวน : 157 หน้า
ขนาดรูปเล่ม : 149 x 187 x 14 มม.
น้ำหนัก : 345 กรัม
เนื้อในพิมพ์ : กระดาษอาร์ต
ชนิดปก : ปกแข็ง
ชนิดกระดาษ : สี่สีในเล่ม
เดือนปีที่พิมพ์ : 10 / 2008
สภาพ 80%
ราคาปกติ 235.00 บาท
ราคาขาย 150 บาท


ความรักกับความเข้มแข็งมั่นคงทางใจของเด็กๆ
ภาคย์ จินตนมัย
ทำไมกะทิจึงเลือกส่งจดหมายถึง “พี่ทอง” แทนที่จะส่งจดหมายฉบับที่แม่เขียนถึงพ่อไปให้พ่อ?
หรือว่ากะทิไม่อยากพบพ่อ?
คำถามข้างต้นดูจะเป็นคำถามทิ้งท้ายไว้ในเรื่อง ความสุขของกะทิ ซึ่งเขียนโดยนักแปลและนักเขียนหญิง งามพรรณ เวชชาชีวะ หนังสือเล่มเล็กๆที่สามารถสร้างความประทับใจได้มากเกินขนาดของหนังสือ
เรื่องราวของ “กะทิ” เด็กหญิงวัย 9 ขวบ ที่อาศัยอยู่กับตายายที่บ้านริมคลอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยที่เธอก็มีความสุขตามสภาพและอัตภาพ แต่ท่ามกลางความสุขเหล่านั้น กะทิก็เป็นเด็กที่ไม่ได้มีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมเหมือนเด็กคนอื่น เสียงเรียกร้องภายในที่ดังกระซิบแผ่วภายในใจอยู่ตลอดเวลาของกะทิก็คือเสียง เรียกร้องโหยหาความรักความอบอุ่นจากแม่ แม่ที่เธอแทบจะจำรายละเอียดอะไรไม่ได้เลยนอกจากเสียงเท่านั้น ชีวิตของกะทิดำเนินไปอย่างราบรื่นและราบเรียบ โดยมีตาและยายคอยให้ความรักความอบอุ่นจนกระทั่งวันหนึ่ง ยายถามกะทิว่า
...”กะทิ อยากไปหาแม่ไหมลูก” (หน้า 40)
หลัง จากนั้นเสียงกระซิบภายในใจของกะทิก็กลายเป็นจริงขึ้นมา กะทิได้ไปพบแม่ที่บ้านชายทะเล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นั่นกะทิเด็กหญิงวัยเก้าขวบต้องรับรู้และเผชิญกับความจริงอันยิ่งใหญ่ของ ชีวิต ความจริงอันโหดร้ายเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะปล่อยให้เธอรับรู้ในวัยเด็ก นั่นก็คือการที่แม่ของกะทิป่วยหนักและเหลือเวลาในชีวิตอีกไม่นาน แม่ของกะทิป่วยเป็นโรคที่มีชื่อเรียกหลายชื่อ ชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีคือ เอแอลเอส
... โรค เอแอลเอสทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจนใช้งานไม่ได้ในที่สุด นอกจากแขนขาแล้ว ที่อันตรายถึงชีวิตก็คือกล้ามเนื้อช่วยในการหายใจทำงานไม่ได้ อย่างเช่น กะบังลม กล้ามเนื้อหน้าอก ... (หน้า 63)
การ ได้มาพบและอยู่ด้วยกันกับแม่ในครั้งนี้ของกะทิก็คือการมาอยู่กับแม่ในช่วง ชีวิตระยะสุดท้ายของแม่ของกะทินั่นเอง และเป็นการทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งได้รู้จักกับอีกด้านหนึ่งของ ชีวิต ด้านที่โหดร้ายทารุณ และได้รู้จักกับสิ่งที่ไม่มีใครห้ามหรือเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้...ความตาย
แน่นอน... หากว่ากะทิไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักความทะนุถนอมเป็นอย่างดีจาก ตาและยาย ความเข้มแข็งมั่นคงทางจิตใจของกะทิคงมีไม่มากดังที่เราได้เห็นในเรื่องเป็น แน่ และการที่ผู้ใหญ่ทุกคนยินยอมให้กะทิได้พบแม่ ได้อยู่กับแม่ในวาระสุดท้ายของชีวิตของแม่ ก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกและเป็นการตัดสินใจที่ยอมรับสิทธิของเด็กอายุเก้า ขวบคนหนึ่ง สิทธิที่จะได้อยู่ในวาระสุดท้ายของบุพการีร่วมกัน
การ อยู่กับตาและยายของกะทิซึ่งต่างก็เป็นคนมีความรู้มีการศึกษาดีทั้งคู่ จึงเป็นเสมือนการเตรียมความพร้อมทางจิตใจให้กับเด็กที่กำลังจะย่างเข้าสู่ วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่คนหนึ่งให้มีความมั่นคงเข้มแข็งทางจิตใจมากพอที่จะ เผชิญหน้ากับความจริงอันเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอไม่วันใดก็ วันหนึ่ง และไม่ว่าจะรู้สึกว่ามันเป็นของธรรมดาโลก หรือเป็นสิ่งโหดร้ายทารุณสำหรับชีวิตก็ตาม นั่นก็คือ การพลัดพรากสูญเสีย
“การจากตาย” ยังไม่ใช่สิ่งเดียวเท่านั้นที่กะทิต้องพบเจอ หลังจากที่แม่ของกะทิเสียชีวิตไปแล้ว และความหลังต่างๆของแม่ค่อยๆถูกเปิดเผยออกมา พร้อมทั้งความเป็นมาเป็นไปของการกำเนิดกะทิด้วย ชีวิตและข้อมูลที่ถูกจัดการและจัดวางเอาไว้เป็นอย่างดีทำให้กะทิได้รับรู้ ความจริงว่าพ่อของกะทิเป็นใคร แล้วได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นลูกของพ่อและของแม่ ในฐานะที่เป็นเด็กซึ่งพอจะรู้เดียงสาคนหนึ่ง ให้ตัดสินใจอย่างผู้ใหญ่ในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง นั่นก็คือ ตอนท้ายเกือบจะที่สุดของเรื่องนี้ การที่แม่ได้เขียนจดหมายถึงพ่อไว้ให้กะทิตัดสินใจว่าจะส่งไปถึงพ่อหรือไม่ กะทิจึงต้องคิดใคร่ครวญและตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับเด็กคนหนึ่ง แล้วกะทิก็เลือกตัดสินใจอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด “การจากเป็น” กะทิเลือกตัดสินใจที่จะไม่ส่งจดหมายฉบับนั้นถึงพ่อ
อัน ที่จริง ไม่ว่ากะทิจะตัดสินใจอย่างไร ส่งหรือไม่ส่งจดหมายถึงพ่อ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระเทือนต่อชีวิตกะทิทั้งสิ้น การเลือกไม่ส่งจดหมายอาจจะดูเหมือนว่าชีวิตแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เพราะกะทิก็ได้กลับไปอยู่กับตายายที่บ้านริมคลองเหมือนเดิม ได้กลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดเหมือนเดิม ได้อยู่กับพี่ทองและหลวงลุงเหมือนเดิม และกะทิก็จะไม่มีพ่อเหมือนเดิม แต่นั่นไม่เหมือนเดิมอย่างแท้จริงเลย หากแต่สิ่งที่กะทิเลือกตัดสินใจนั้น เป็นการตัดสินใจของเด็กที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัย เด็กที่รู้จักพอกับความสุขในชีวิตที่ตนได้รับ รู้จักเพียงพอสำหรับความรักความเอ็นดูที่คนรอบข้างมีให้อย่างไม่มีเงื่อนไข และไม่มีวันหมดสิ้น เป็นการตัดสินใจในสิ่งที่กะทิคิดว่าตนเองไม่อาจจะกำหนดและคาดเดาอะไรได้ เพราะการได้พบพ่อของกะทิอาจจะทำให้เกิดคำถามและปัญหาอะไรตามมาให้คิดให้ตอบ และให้แก้ไขอีกไม่น้อยเช่นกัน
ความสุขของกะทิ เป็น เรื่องที่เขียนขึ้นในลักษณะเดียวกับที่แม่ของกะทิจัดวางทุกอย่างเตรียมไว้ ให้กะทิอย่างพร้อมเพรียงและเป็นระบบ ซึ่งเป็นความโชคดีในความโชคร้ายของกะทิ ที่เกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างมีฐานะ และพร้อมที่จะเตรียมชีวิตของกะทิเอาไว้ล่วงหน้าได้อย่างที่เห็นในเรื่อง วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ก็เช่นกัน ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยการจัดการและจัดวางองค์ประกอบต่างๆของเรื่องอย่าง เป็นระบบระเบียบ เป็นการสร้างสรรค์ในลักษณะของการจัดวางองค์ประกอบศิลป์ เพื่อให้ทุกอย่างอยู่ถูกที่ถูกทาง มีจังหวะและมีความสมดุลกันไปหมด ซึ่งเป็นความงามในอีกรูปแบบหนึ่งของผลงานทางศิลปะ
หาก เราไล่เรียงองค์ประกอบต่างๆที่เป็นโครงสร้างของวรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ก็จะ พบว่าการแบ่งเรื่องออกเป็น 3 ส่วน คือ บ้านริมคลอง บ้านชายทะเล และบ้านกลางเมือง เป็นการจัดการในเรื่องของฉากหลัก หากเป็นละครนี่ก็คือละครที่มี 3 องก์นั่นเอง
ลำดับ จากนั้น ชื่อตอนในแต่ละส่วน ยังได้ถูกคัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี ในส่วนแรก บ้านริมคลอง ชื่อตอนจะเป็นชื่อของเครื่องมือเครื่องใช้ทั้งหมด เป็น “สิ่งไม่มีชีวิต” เช่นเดียวกับชื่อตอนในส่วนที่สาม บ้านกลางเมือง หากแต่ว่าเครื่องมือเครื่องใช้ในส่วนแรกเป็นสิ่งที่บ่งบอกหรือสะท้อนถึงวิถี ชีวิตแบบไทยดั้งเดิมหรือวิถีชาวบ้านชนบท เช่น ปิ่นโต กะละมังกับไม้หนีบผ้า เรืออีแปะ กระต่ายขูดมะพร้าว เป็นต้น ในขณะที่เครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นชื่อตอนในส่วนที่สามนั้น เป็นเครื่องมือเครื่องใช้สำหรับชีวิตในเมือง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ออกจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสมัยใหม่อยู่สักหน่อย เช่น พวงกุญแจ กระเป๋าเดินทาง ดินสอสี ตู้ไปรษณีย์ เป็นต้น และในส่วนที่สองของเรื่อง มีชื่อตอนเป็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เช่น (ต้น) หางนกยูง ปูลม ผักบุ้งทะเล แมงกะพรุน เป็นต้น ซึ่งความหมายแฝงของการใช้ชื่อเป็น “สิ่งมีชีวิต” ในส่วนที่สองของเรื่องนี้ก็คือ การแสดงถึงความสำคัญของชีวิต เพราะเป็นตอนที่กะทิได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับแม่ในช่วงชีวิตสุดท้ายของแม่ของ กะทิ
การเลือกใช้ประโยคสนทนาเพียงประโยคเดียวโปรยไว้บนหน้าเปิดเรื่องในแต่ละตอนของ
เรื่อง นี้โดยตลอดไปทุกตอน ก็เป็นการจัดวางที่ทำไว้อย่างมีความหมายเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนแรกของเรื่อง บ้านริมคลอง ที่กะทิอาศัยอยู่กับตาและยายในวิถีแบบชุมชนดั้งเดิมของไทย ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลกทรอนิกส์มากเกิน ความจำเป็น การหุงข้าวยายยังใช้วิธีหุงแบบ “ดงข้าว” ซึ่งเป็นวิธีเก่าแก่ของไทย สิ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่งในส่วนแรกของเรื่องนี้ก็คือไม่มีใครพูดถึงแม่ของ กะทิเลย เรื่องที่เล่าผ่านเสียงเล่าในเรื่องของผู้เขียนก็ไม่มีการบอกเล่าเรื่องราว ของแม่ของกะทิเลย ประโยคในเครื่องหมายคำพูดสั้นๆที่โปรยเอาไว้ในตอนต้นของแต่ละตอน จึงเสมือนเป็น “เสียงที่ดังออกมาจากใจ” ของกะทิที่แว่วออกมาถึงโลกกว้างเพื่อจะบอกว่าเธอคิดถึงแม่มากขนาดไหน แต่เธอก็มีความอดทนสูงมากที่ไม่เคยถามถึงแม่จากตาและยายเลย
เรื่อง ในส่วนแรกที่ถูกจัดวางไว้เช่นนี้ก็เพื่อจะบอกเป็นนัยๆว่าวิถีแห่งการดำเนิน ชีวิตที่จะทำให้เด็กๆได้มีความมั่นคงและเข้มแข็งทางจิตใจ ก็คือวิถีการเลี้ยงดูภายใต้การดำเนินชีวิตแบบพออยู่พอกินในลักษณะชาวบ้าน ชนบทไทยเดิมที่มีความเอื้ออาทรและเกื้อกูลกันด้วยความรักนั่นเอง
เมื่อ ถึงส่วนที่สอง กะทิได้พบแม่และได้ใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ของแม่ร่วมกัน ก็เป็นตอนที่ไม่มีใครกล่าวถึงพ่อของกะทิอีก และจะด้วยโอกาสและสถานการณ์อันไม่อำนวยหรือด้วยเหตุอื่นใดก็ดี กะทิก็ไม่เคยถามถึงพ่ออีกเช่นกัน หากแต่ได้ใช้วันเวลาที่เหลืออยู่ของแม่นั้นอย่างคุ้มค่า ได้แสดงความรักและได้รับความรักจากแม่อย่างเต็มเปี่ยมเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะ สามารถทำได้
และ เมื่อมาถึงส่วนที่สามของเรื่อง เสียงในใจของกะทิก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงของแม่แทน พร้อมกับความหลังที่แม่เล่าผ่านข้อมูลที่ถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระบบ ระเบียบเรียบร้อย ชีวิตของกะทิได้รับการวางแผนเอาไว้เสร็จสรรพจนถึงขณะนั้น ขณะที่จดหมายที่แม่ส่งถึงพ่อถูกส่งมอบถึงมือกะทิ และขณะนั้นเองที่จากเด็กอายุเก้าขวบอย่างกะทิต้องตัดสินใจอย่างผู้ใหญ่ด้วย ความคิด ด้วยเหตุผล และอารมณ์ความรู้สึกทีมีอยู่ทั้งหมด เพื่อที่จะตอบคำถามว่า “จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต” แล้วกะทิก็ผ่านบททดสอบชีวิตอันแสนยากเย็นบทนี้อย่างราบรื่น ด้วยจิตใจอันเข้มแข็งมั่นคงและมีความสุข
“ความสุขของกะทิ” จึงเป็นความสุขที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อยลอยไร้ที่มาที่ไป หรือเกิดขึ้นจากความบังเอิญ มันไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์หรือความเป็นอัจฉริยะของกะทิ หากแต่มันเกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้าง ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะสร้างภาพเปรียบขึ้นให้เห็นเมื่อกะทิกับพิ้งค์ได้ไป นั่งเล่นใช้เวลาที่มุมศิลปะในห้างสรรพสินค้า แสดงให้เห็นสภาพที่จิตใจของเด็กสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งที่สภาพ ครอบครัวอาจไม่ต่างกัน คือไม่มีพ่อไม่มีแม่อยู่ครบด้วยกันทั้งคู่
... น่า จะเรียกว่าศิลเปรอะเสียมากกว่า มีรอยดำๆจากปลายดินสอสีป้ายเป็นปื้นใหญ่ๆเหมือนเจ้าตัววาดอะไรแล้วเปลี่ยนใจ ทาสีดำทับลงไปแทน น่าจะเป็นรูปผู้ชายสองคนตัวโตกับตัวเล็ก จูงมือกัน มีบ้านหลังเล็กๆไฟลุกท่วมอยู่ด้านหลัง หน้าตาคนวาดดูตั้งอกตั้งใจให้ออกมาเป็นแบบนั้น พิ้งค์คงเห็นสายตาของกะทิ จึงบุ้ยใบ้ทำนองอธิบายว่า “วาด รูปพ่อกับน้องพาย อยากรักกันดีนัก ทิ้งให้เราอยู่กับหม่าม้าสองคน แล้วตัวเองหนีไปอยู่บ้านอาม่ากับผู้หญิงคนใหม่ นี่...นี่...นี่... วาดให้น่าเกลียดน่ากลัวแบบนี้แหละ” ... (หน้า 102)
หาก จะบอกว่าสำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุลแล้วละก็ ภาพวาดของพิ้งค์ก็คงบอกสภาพจิตใจของพิ้งค์ได้เป็นอย่างดี ยิ่งไปกว่านั้นมันยังบอกไปไกลถึงสภาพจิตใจคนที่เลี้ยงดูพิ้งค์ด้วย
“ความสุขของกะทิ” เกิดจากความสุขของคนรอบข้างที่ส่งผ่านทอดถ่ายสะท้อนมาถึงกะทิ และทำให้กะทิรู้จักรักษาความสุขนั้นเอาไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า การที่จะเลี้ยงเด็กให้มีความสุขได้นั้น ผู้ใหญ่ต้องมีความสุขเสียก่อน เพราะความสุขของผู้ใหญ่นั่นเองที่จะส่งทอดทางจิตใจไปถึงเด็กๆกลายเป็นความ สุขของเด็กในที่สุด
ความสุขที่แท้ก็คือความเข้มแข็งและมั่นคงในจิตใจที่เกิดจากความรู้จักพอนั่นเอง.

รอยวสันต์


รหัสสินค้า : 51-0001
ผู้แต่ง ยุวดี ตันสกุลรุ่งเรือง
จำนวน : 312 หน้า
ขนาดรูปเล่ม : 130 x 185 x 15 มม.
น้ำหนัก : 255 กรัม
เนื้อในพิมพ์ : กระดาษถนอมสายตา
ชนิดปก : ปกอ่อน
ชนิดกระดาษ : ขาวดำ
เดือนปีที่พิมพ์ : 6 / 2008
สภาพ : 78%
ราคาเต็ม : 160 บาท
ขาย : 100 บาท

เรื่องราวชีวิตของอาสำทั้งสี่ที่นำพาความรักและความปรารถนาดีจากดินแดนโพ้นทะเลมายังหลานสาวอันเป็นที่รัก
“รอยวสันต์” เป็นอีกหนึ่งผลงานวรรณกรรมสร้างสรรค์ระดับคุณภาพ ที่ผ่านการค้นคว้ากลั่นกรองอย่างดีจากฝีมือของยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง นักเขียนสตรี ผู้คว้ารางวัลพระราชทาน ชมนาด บุ๊ก ไพร้ซ์ ประจำปีที่แล้วไปครองได้อย่าง สง่างาม เป็นเอกฉันท์
ภายในหนังสือเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ เด็กหญิงจีนชาวกวางตุ้ง สี่คน คือ อาเข่ง อาเก๋ง สอง พี่น้อง และอาไกว กับ อาโหว เพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดมีอันต้องอพยพลี้ภัยสงครามคอมมิวนิสต์และความยากจนแร้นแค้นจาก หมู่บ้านเล็กๆ นามว่า “ส่นตั๊ก” ทางตอนใต้ของจีน ลงเรือมุ่งสู่แผ่นดินสยาม
หลังจากอาเข่ง อาเก๋ง อาไกว และอาโหว เดินทางมาถึงแผ่นดินใหม่ เด็ก ทั้งสี่ได้พบกับอาถายหญิงชราจีนคราวป้า ซึ่งได้รับการฝากฝังจากพ่อแม่ของเด็กๆ ทางบ้านเกิดให้มาอาศัยอยู่ร่วมชายคาในกรุงเทพฯ และช่วยฝึกสอนงานบ้านให้แก่เด็กๆ เพื่อเตรียมตัวไปเป็นสาวรับใช้ตามบ้านผู้มีอันจะกินทั้งหลายแหล่
เมื่อ ถึงเวลาเหมาะสม อาถาย ผู้ยึดอาชีพนายหน้าหาแรงงานไปส่งตามบ้าน จึงได้พาเด็กสาวทั้งสี่ไปฝากงาน กับนายจ้าง โชคชะตาได้นำพาให้เข่งกับเก๋งสองพี่น้องไปทำงานที่โรงกลึงขนาดใหญ่แถวตลาด น้อย โดยเข่งนั้นถูกจับให้ทำงานเป็นลูกมืออยู่ในโรงครัว ช่วยเหล่าสะใภ้หลายคน โดยมีอาต่ายโสว หรือสะใภ้บ้านใหญ่ เป็นแม่ครัวหลัก คอยหุงข้าวปลาอาหารทั้งสามมื้อ ให้แก่ครอบครัว และคนงานในโรงกลึง ส่วน อาเก๋ง คนน้องนั้นคล่องแคล่วว่องไว มีหน้าที่คอยช่วยเหล่าสะใภ้เลี้ยงเด็กเล็กๆ และช่วยงานเบ็ดเตล็ดในโรงกลึง เมื่อ ทั้งสองคนเริ่มโตเป็นสาว อาเข่งก็ได้รับรู้ว่า เก๋ง น้องสาวของเธอกำลังชอบพออยู่กับ อาเส่ง เด็กหนุ่มโรงกลึง ซึ่งเข่ง พยายามคัดค้าน ด้วยความเป็นห่วงน้องสาว กลัวว่าจะเจอคนไม่ดีเข้า จนพี่น้องเกิดการผิดใจกัน แต่ก็ปรับความเข้าใจกันในที่สุด
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิด ความแตกแยกขึ้นระหว่างนายบ้านต่างๆ ถึงขั้นแยกโรงงานและแยกบ้าน อาเส่งที่เก็บเงินได้พอประมาณ จึงขอลาออกไปทำกิจการเป็นของตัวเอง และได้แต่งงานกับเก๋ง ถึงแม้จะพยายามเข้าใจในตัวน้องสาว แต่อาเข่งก็ยังมีอคติกับอาเส่ง และไม่ค่อยเห็นชอบเท่าใดนักที่ ทั้งสองแต่งงานกัน
ปี พ.ศ. 2500 ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นในชีวิตของเข่ง เมื่ออาถายได้พาเธอไปทำงานในที่แห่งใหม่ ในฐานะแม่ครัว บ้านเศรษฐีจีนแซ่ฉั่น ย่านสาทร แม้ว่าเข่งจะมีประสบการณ์คอยเป็นลูกมือในครัวมานาน แต่เธอก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการทำอาหารเสียทีเดียว อา เข่งได้รับการสอนงานครัวจากอาสำ หรือหญิงรับใช้ คนเก่า และด้วยความมุมานะบากบั่น รวมถึงความใฝ่รู้ของเธอ จึงทำให้อาเข่งก้าวผ่านความเคลือบแคลงสงสัย และกังขาในฝีมือการทำอาหารของอาสำคนใหม่นี้ไปได้ในที่สุด
อา เข่งยังมีความขัดแย้งขัดใจกับอาเก๋งและน้องเขย อยู่เนืองๆ แต่ก็เพราะความรักความหวังดีในฐานะผู้เป็นพี่สาวร่วมสายเลือดนั่นเอง จึงทำให้คนที่มีความคิด ยึดมั่น คติเดิมๆ เช่นเธอปรับเปลี่ยนท่าทีอ่อนลง
ณ บ้านใหญ่ ที่สาทร อาเข่งต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของอาสำอย่างเต็มตัว เธอดูแลงานบ้านและจัดหาอาหารให้แก่เจ้านาย ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง บ่อยครั้งที่เธอต้องไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดเยาวราช จึงทำให้เธอได้รู้จักมักคุ้นกับ หนุ่มร้านชำ กวางตุ้ง ชื่ออาหยิบ ซึ่งรอบรู้ในเรื่องของวัตถุดิบการทำอาหารเป็นยิ่งนัก และสามารถชี้แนะเธอเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน ได้เป็นอย่างดี อาหยิบปฏิบัติต่อเธอเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการช่วยหอบหิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าวไปส่งถึงรถสามล้อถีบ และเก็บวัตถุดิบประกอบอาหารดีๆ ไว้ให้เธอ
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้อาเข่งเฉลียวใจ หรือฉุกคิดว่า นั่นคือท่าทีชอบพอที่อาหยิบสื่อสารมาให้แก่เธอ จนวันหนึ่งอาหยิบได้บอกเล่าถึงความตั้งใจของตนที่จะมีกิจการร้านชำเป็นของตนเอง และได้เอ่ยปากว่า
“เธออยากจะออกมาช่วยฉันขายของไหม”
คำ พูดนี้ติดอยู่ในห้วงคำนึงของอาเข่ง ให้คิดทบทวนอยู่หลายรอบ แม้อาเข่งจะพึงใจในอาหยิบอยู่บ้าง แต่ด้วยภาระหน้าที่ และ สถานภาพที่ยังไม่มั่นคงของอาหยิบ จึงทำให้เธอไม่อาจตอบตกลงได้ ประจวบกับที่เข่งต้องย้ายงานใหม่ ไปที่บ้านเศรษฐีแถวบางกะปิแซ่กวาน จึงทำให้เธอห่างหายกับอาหยิบไป และไม่นานหลังจากนั้น เธอก็ได้ทราบข่าวจากปากของอาหยิบว่า เขากำลังจะแต่งงาน
ที่ บ้านของนายแซ่กวาน อาเข่งในวัยชราได้รับความเคารพนับถือจากเจ้าของบ้าน และเมื่อคุณหนูทั้งสี่คนโตขึ้น คุณนายจึงจัดแจงหาเด็กรับใช้สองคนมาช่วยงานอาเข่ง แต่แล้วความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เข่งเคยคุ้นเคย ยึดถือและปฏิบัตินั้น กลับกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย รวมถึง ‘ฝีมือการทำอาหารกวางตุ้งเลิศรส’ ที่ เคยเป็นความภาคภูมิใจของหญิงชรา ก็ดูจะหมดมนต์ขลัง พื้นที่ในครัว ที่เคยครึกครื้นวุ่นวาย ก็เงียบเหงา เพราะการมาเยือนของ เทคโนโลยี และค่านิยมใหม่ๆ
เมื่อ อาเก๋งรู้ว่า พี่สาวของเธอได้ลาออกจากบ้านของนายแซ่กวานแล้ว อาเก๋งและสามีที่ประกอบธุรกิจโรงกลึงจนร่ำรวย จึงมารับพี่สาวไปอยู่ด้วย เข่งใช้ชีวิตในบั้นปลายอาศัยพักพิงกับครอบครัวของอาเก๋ง และคอยช่วยน้องสาวดูแล ลูกหลานของเธอจนเติบใหญ่
สำหรับ อาไกวเด็กสาวผู้มีหน้าตาสะสวยกว่าเพื่อน อาถายได้นำเธอไปทำงานที่บ้านนายชาวญี่ปุ่น ชื่อยามาดะ โดยมีคนสอนงานเป็นหญิงชาวจีนชื่อ อาจั๊น อาไกว ประทับใจในตัวนายชาวญี่ปุ่นที่มีกิริยาท่าทีสงบเสงี่ยม สุภาพอ่อนโยน อยู่เงียบๆ นอกจากจะเรียนรู้งานบ้านกับอาจั๊นแล้วหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของอาไกวคือ คอยตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าและเปิดประตูให้นายเมื่อเขาออกไปทำงาน และอยู่คอยรับตัวนายญี่ปุ่นจากสามล้อถีบเข้าบ้าน เมื่อเขาเมากลับมายามดึก
หลังจากนั้นไม่นาน อาจั๊นก็ออกจากบ้านไป และปล่อยให้สาวรับใช้อยู่กับนายเพียงสองคน อาไกวทำงานอย่างขยันขันแข็ง สะอาดเรียบร้อย จนได้รับคำชมจากนายยามาดะและของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ เป็นการตอบแทนน้ำใจ
วัน เวลาล่วงไป นายจ้างและสาวรับใช้ต่างประทับจิตประทับใจซึ่งกันและกันอยู่ลึกๆ ความผูกพันแบบต่างฐานะ ก่อเกิดขึ้นราวดอกไม้ที่กำลังแย้มกลีบบาน
ทว่าหลังประเทศญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม พิษสงของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้นายยามาดะต้องลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น ก่อน จากไปเขาได้มอบหีบปริศนาใบหนึ่งให้แก่อาไกว ซึ่งเก็บซ่อนสิ่งสำคัญเอาไว้ เหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้สร้างความสะเทือนใจให้แก่อาไกว และตราตรึงอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของหญิงสาวมิรู้เลือน
เมื่อ นายญี่ปุ่นออกจากบ้านไปแล้วอาไกวจึงตัดสินใจไปขอพึ่งพิงอาถายหญิงนายหน้าชรา ผู้เปล่าเปลี่ยวที่บ้านซอยหลังวัดยวน อาถายมีอุปนิสัยตระหนี่ถี่เหนียว และติดการพนัน นางพยายามเก็บหอมรอมริบเงินที่ได้จากค่านายหน้า และรับจ้างทั่วไป เพื่อหวังจะกลับไปบ้านเกิดเมืองนอน
อยู่ ที่นี่อาไกวต้องทำงานสารพัด อีกทั้งอาถายยังไม่ให้ค่าแรง และเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย อาถายจึงให้หญิงสาวไปช่วยงานที่ศาลเจ้า เพื่อจะได้อาศัยกินข้าวที่นั่น ซึ่งทำให้อาไกวได้รู้จักกับอาสำคนหนึ่งที่กำลังจะกลับเมืองจีน จึงขอติดตามไปด้วย แต่ทว่าในตอนนั้นประเทศจีนได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว จึงทำให้เธอกลับส่นตั๊กไม่ได้ อา ไกวจึงต้องย้ายไปอาศัยกับน้องสาวที่ฮ่องกงอยู่นานหลายปีแล้วจึงตามน้องชายไป เปิดร้านซักรีด ที่ แวนคูเวอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในที่สุด
ส่วนอาโหวนั้นได้ไปเป็นเด็กรับใช้ที่คลินิกของคุณหมอจ้ง จักษุแพทย์ แถวถนนสี่พระยา ที่ นี่โหวต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อลุกขึ้นมาทำความสะอาดคลินิกของคุณหมอ ผจญกับคำพร่ำบ่น ความจู้จี้จุกจิก ละเอียดลออ ของคุณนายจ้ง และงานบ้านอันแสนวุ่นวาย อาโหวรับรู้ว่า คุณหมอจ้ง และ ภรรยามักมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากคุณหมอจ้งมีนักร้องสาวสวยชื่อ เซี่ย มาติดพัน จนเรื่องราวบานปลายกลายเป็นโศกนาฏกรรม ในที่สุด
หลังจากนั้นอาโหวได้ย้ายงานไปทำงานอยู่ที่ร้านขายกุนเชียง และได้พบรักกับอาฟกเจ้าของร้าน แต่ เพียงไม่นาน สามีของเธอก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง อาโหวต้องตกพุ่มม่ายลูกสองเธอขายกิจการต่อให้ลูกน้องอาฟก ได้เงินมาก้อนหนึ่งไปเซ้งห้องแถวตรอกจันทร์ไว้ให้เช่า และย้ายไปทำงานบ้านให้นายแซ่ห่อ ที่บางกะปิ แต่ด้วย ความอึดอัดใจหลายอย่างจึงทำให้โหวหันเหชีวิตของตนครั้งใหญ่ ด้วยการเดินทางไปเป็นแม่บ้านที่สิงคโปร์ และฝากลูกๆ ทั้งสองไว้กับอาส่น คนเก็บค่าเช่า โดยอาโหวจะแวะเวียนมาเยี่ยมลูกเพียงปีละ ครั้ง สองครั้ง เท่านั้น
วัน หนึ่งอาเข่งไปเยี่ยมลูกๆ ของอาโหว และพบว่าแท้จริงแล้วอาส่นเป็นคนร้ายกาจ เลี้ยงดูเด็กๆ อย่างทารุณ แล้วยังโกงค่าเช่าบ้าน นางจึงรับเด็กๆ ออกมา และแจ้งให้อาโหวทราบ อาโหวเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงกลับมารับเด็กๆ ไปอยู่ด้วยที่สิงคโปร์ และทำงานอยู่ที่นั่นจนวัยเกษียณ
เรื่องราว ความทรงจำของอาสำทั้งสี่ เมื่อ 70 กว่าปีก่อนได้รับการถ่ายทอดสู่หลานสาวโสด วัย 30 ปีของอาเก๋ง ชื่ออาหมุ่ยหมุย ซึ่งเธอกำลังอยู่ในช่วงรอเวลาไปทำงานด้านคอมพิวเตอร์ที่ประเทศออสเตรเลีย ผ่านการบอกเล่าของ อาเข่ง อาเก๋ง อาไกว อาโหว ในวัย 80 ที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และได้รับรู้ถึง ความยากลำบากของสาวจีนอพยพในกรุงเทพฯ ผู้เข้ามาทำงานเป็นสาวใช้ที่เรียกกันว่า “อาสำ” รวมไปถึง มิตรภาพ ความรัก ความผูกพัน ของเหล่าคุณย่าทั้งสี่คน
ความหลัง ของอาสำทั้ง 4 คนที่ถูกถ่ายทอดในช่วง 1 เดือนของการรวมตัวกัน มีผลให้หลานสาวโสดครุ่นคำนึงถึงอีกด้านหนึ่งของชีวิตผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน และ ด้วยความชาญฉลาดของอาสำทั้ง 4 ได้ตะล่อมจนหลานสาวตกลงใจแต่งงานกับอาจารย์มหาวิทยาลัยนามว่าวัฒนชัย หนุ่มใหญ่วัยไล่เลี่ยกัน ผู้ชายที่พวกอาสำเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ได้เป็นผลสำเร็จ
ยุวดี ต้นสกุลรุ่งเรือง สามารถร้อยเรียงภาษา และถ่ายทอดเรื่องราวของ “รอยวสันต์” ได้ อย่างละเมียดละไมละเอียดลออ ภายใต้การดำเนินเรื่องเรียบเรื่อย ตามแบบของนวนิยายแนวชีวิต ที่ค่อยๆ พาเราย้อนรอยไปสู่เรื่องราวแต่หนหลังของ ผู้หญิงจีนอพยพจากดินแดนจีนโพ้นทะเล สี่คน ซึ่งเดินทางรอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเล มาสู่เมืองไทย เมื่อกว่า 70 ปีก่อน ช่วงสมัยปลายยุคสงครามโลกครั้งที่ 2
สิ่ง ที่เห็นได้เด่นชัดก็คือความแปลก แตกต่างของเนื้อหาที่ผู้เขียนเลือกที่จะหยิบยกกล่าวถึงเรื่องราวของผู้หญิง จีนกวางตุ้ง ที่มาทำงานเป็นอาสำ หรือสาวรับใช้อยู่ภายในบ้านของเศรษฐีทั้งหลายในยุคก่อน ผ่านความยากลำบาก ประสบการณ์ชีวิตสารพัน มาถ่ายทอด ซึ่งนับเป็น
เสน่ห์ อย่างหนึ่งที่ ทำให้เรารู้สึกว่า น่าค้นหา และติดตาม เนื่องจากเรื่องราวการต่อสู้ชีวิตของผู้หญิงจีน หรือรวมไปถึง อาสำเหล่านี้ เป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะได้รับรู้ และน้อยคนนักที่จะจรดปากกาเขียนถึงในสังคมไทย
อีก ทั้งลักษณะการใช้วรรณศิลป์ของผู้เขียนที่ค่อนข้างต่างจากนวนิยายทั่วไป โดยการเขียนจากวลีจีนตรงๆ และสอดแทรกผสมผสานคำอธิบายไว้ในประโยคสนทนา หรือบทบรรยาย ได้อย่างลื่นไหลก็ทำให้ผู้อ่านนอกจากจะได้เรียนรู้ภาษาจีน และความหมายในตัววลี หรือสำนวนนั้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มอรรถรส ความสมจริงสมจังน่าเชื่อถือ ให้แก่หนังสือเล่มนี้ได้เป็นอย่างดี ดังเช่น
“กับข้าวเช้าหนักไปทางของหมักดอง เช่น ผักดองหวาน หัวผักดองเค็ม มะกอกดองเกลือ ปลาเค็มนึ่ง และผักผัดน้ำมันหมู แต่ที่ขาดไม่ได้เลยคือ เหย่าจาไกว๋ที่เป็นขนมแป้งทอดเป็นคู่ ภายหลังเข่งค่อยเรียนรู้ว่าคนไทยเรียกขนมนี้ว่า ปาท่องโก๋ ” (หน้า : 101)
จาก ตัวอย่างข้างต้น เป็นการยกตัวอย่างการร้อยเรียงอธิบายคำศัพท์ภาษาจีนไว้ในบทบรรยายของผู้ เขียน ในตอนที่อาเข่งกับอาเก๋งสองพี่น้องได้มาใช้ชีวิตอยู่ในโรงกลึง หรือจะเป็นตอนที่ผู้เขียนได้ผสมผสานคำอธิบายของคำว่า ‘โพยก๊วน’ ในภาษาจีน ก็สามารถเขียนได้ละเอียดเข้าใจง่าย ดังเช่น
“เลย ไปทางซ้ายมือเป็นร้านบริการส่งเงินซึ่งคนกวางตุ้งเรียกกันชินปากว่า หมั่นกก ซึ่งล้วนตกอยู่ในมือพ่อค้ากวางตุ้งเซยับ ทว่าหลังสงครามหลายปีมานี้ กิจการหมั่นกกค่อยๆ เปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนจีนแต้จิ๋วมากขึ้น จนแม้คำเรียกขานก็เพี้ยนไปเกิดเป็นคำว่า ‘โพยก๊วน’ ขึ้นมาแทน ซึ่งเป็นคำผสมระหว่างคำว่า ‘โพย’ ของแต้จิ๋ว และคำว่า ‘ก๊วน’ ของเซยับ อาถายไม่เคยนึกเลยว่าในที่สุด กิจการจำนวนมากของพวกกวางตุ้งจะเปลี่ยนมือไปอยู่กับแต้จิ๋ว” (หน้า : 160-161)
สิ่ง สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือแง่คิดแง่งาม สาระ รวมถึงความสะเทือนอารมณ์ที่อบอวลโอบอุ้มเนื้อหานวนิยายเล่มนี้ให้ทรงคุณค่า ลึกซึ้ง โดยมิได้ยัดเยียด แต่เป็นการเล่าเรื่องโดยให้ผู้อ่านซึมซับ รู้จักตัวละครผ่านตัวอักษร เหตุการณ์ และกาลเวลา ที่สานโยงเชื่อมถึงกันและกัน ได้อย่างละเอียดอ่อน ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้หลายๆ ฉาก ในหนังสือมีพลังสร้างความสะเทือนใจ ให้แก่ผู้อ่านได้อย่างไม่ยากเย็น โดยไม่ต้องออกแรงเค้น แต่ในความสะเทือนใจนั้นหาใช่ อารมณ์ความเศร้า หมองหม่น เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความซาบซึ้ง อบอุ่น จากความรักอันหลากหลาย ระหว่าง หนุ่มสาว พี่น้องร่วมสายเลือด รวมไปถึงความห่วงหาอาทร และปรารถนาดี ของเหล่าคุณย่า ทั้งสี่ ที่มีต่อหลานสาว อีกด้วย
นอกจาก ผู้อ่านจะได้เพลิดเพลิน และซาบซึ้งไปกับเรื่องราวความผูกพันของตัวละครแล้ว สิ่งที่สะท้อนให้เราได้เห็นและ ขบคิด ภายในหนังสือเล่มนี้ก็คือ ค่านิยม ปรัชญา แนวความคิด ประเพณี และ วิถีชีวิต ของชาวจีนโพ้นทะเลสมัยก่อน ที่เรียกได้ว่า หอบเสื่อผืนหมอนใบ เข้ามาตั้งรกรากในไทย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสำนึกกตัญญู ต่อบ้านเกิดเมืองนอน อาชีพ และ แหล่งทำมาหากิน รวมไปถึงเรื่องราวของการปรุงรสอาหาร ที่ ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเด่น ที่แสดงถึงความเป็นชาวกวางตุ้ง ได้อย่างชัดเจน และเป็นสิ่งที่ผู้เขียนภูมิใจที่จะนำเสนอ และสามารถบรรยาย อธิบายได้ละเอียด อ่านแล้วจินตภาพถึง รูป รส กลิ่น เสียง เฉกเช่นความพิถีพิถันในการปรุงอาหาร ที่ไม่ใช่ แค่ทำไปให้เสร็จๆ แต่คนปรุงนั้น จะต้องมีความใส่ใจ มุมานะ ผ่านการลองผิดลองถูก จนได้ที่ เมื่อมั่นใจในฝีมือแล้วจึงค่อยยกเสริฟ์ให้แก่ผู้รับประทาน
เรื่องราวความลึกซึ้งละเอียดอ่อน หรือความเป็น ‘ภายในของผู้หญิง’ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ ยุวดี ต้น สกุลรุ่งเรืองสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม นิ่มนวล ผ่านบทสนทนา และความนึกคิดของตัวละคร ทั้งในเรื่องของ ค่านิยม จารีต ประเพณี ที่ตีกรอบให้ผู้หญิง มีความคิด และได้รับการปฏิบัติ ที่แตกต่างไปจากผู้ชาย รวมไปถึงการกล่าวถึง ‘อาณาเขตใต้เตียง’ ที่เป็นดังแดนลึกลับ สำหรับผู้หญิง ที่ผู้ชายไม่อาจเข้าถึง ดังเช่น
เก๋งเย็นสันหลังวาบขณะที่ย่าดึงเอาน้องชายสองคนไปกอดไว้ พร้อมกับสั่งสอนห้ามปรามไม่ให้เข้าไปเล่นใต้เตียงอีก
“เป็น ผู้ชายอย่าเข้าไปใต้เตียงรู้ไหม ต่อไปจะเรียนหนังสือไม่เก่ง ทำการค้าไม่เจริญ ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไม่ได้ ผู้ชายต้องออกไปเล่นกลางแจ้ง”
แต่ทีลูกสาวแม่มักใช้ให้ไปหยิบของใต้เตียงเสมอทั้งๆ ที่กลัวแทบแย่
อีก ทั้ง เรื่องความรัก และการแต่งงาน สร้างครอบครัว ก็เป็นแนวคิดหลัก ซึ่งผู้เขียนสามารถนำเสนอแนวคิดเรื่องนี้ผ่านบทสนทนาของตัวละคร ได้อย่างคมคาย ดังเช่น
“สวยแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คนจีนเขาว่าความสวยต้องการคนชื่นชม”
“นี่แน่ะ อาหมุ่ย หมุย อย่าหาว่าฉันปากไม่ดีเลยนะ” ย่าสองพูดดังเพราะหูไม่ดี “คนจีนเราว่าหญิงสาวแต่งงานเพื่อพ่อแม่ หญิง ม้ายแต่งงานเพื่อตัวเอง พ่อแม่อยากให้ลูกแต่งงานเพราะจะได้สบายใจหมดห่วงว่าเห็นลูกเป็นฝั่งเป็นฝา แล้ว เข้าใจไหม ต่อไปเกิดไม่มีพ่อแม่ แล้ว เธอพบคนที่อยากแต่งงานด้วยจะเสียใจว่าไม่ได้แต่งให้พ่อแม่เห็น” (หน้า : 154-155)
“ฉันเข้าใจ ไม่อยากจะพูดหรอกนะ แต่ยังอยากแนะนำว่าเธอน่าจะแต่งงานไปเสียกับอาจารย์คนนั้นก่อนที่....” ย่าเล็กหัวเราะขึ้นมาแล้วค่อยพูดต่อว่า “ก่อนที่จะไม่มีใครเอา”
ฉันยิ้มแหย
“หนูแก่ขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ไม่หรอก แต่ชีวิตก็เหมือนฤดูกาล ในหนึ่งปีย่อมมีช่วงที่ดีที่สุดของมัน ฤดูใบไม้ผลิของชีวิตหากผ่านไปแล้วก็ออกจะน่าเสียดาย” (หน้า : 281)
จาก ตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ผู้เขียนสามารถใช้บทสนทนาของตัวละคร นำเสนอประเด็นให้ ผู้หญิงสมัยใหม่ ได้ตระหนักและขบคิด ถึงการใช้ชีวิต และเห็นถึงความสำคัญของการสร้างครอบครัว ได้เป็นอย่างดี
แม้ เนื้อหาในนวนิยายเรื่องนี้จะดูเรียบเรื่อย และเต็มไปด้วยศัพท์แสงภาษาจีนมากมาย ไม่มีพระเอก นางเอก เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก หรือฉาก ไคล์แม็ก ให้ลุ้นระทึกตื่นเต้น ตามแนวนิยมของรูปแบบนวนิยายทั่วไป แต่ ผู้เขียนก็สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของอาสำทั้งสี่ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีความซับซ้อน ตื้นลึกในตัวละคร อีกทั้งยังมีการเปิดและปิดบท ได้น่าติดตาม และสร้างปริศนาชักชวนให้ผู้อ่าน สมัครใจใคร่รู้เรื่องราว ตลอดต้นจนจบ ยุวดีใช้ภาษาที่สละสลวย ผ่านการศึกษาค้นคว้ามาอย่างถี่ถ้วน นำพา ให้ผู้อ่านไปสัมผัสถึงตัวตนภายในของสตรีเพศทั้งในด้านความเข้มแข็งและความ อ่อนโยน รอยยิ้มและความเศร้าหม่น จวบจนบทสรุปสุดท้ายที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึก เต็ม และอิ่มเอม
‘รอยวสันต์’ จึงนับเป็นหนังสือชื่อชั้นรางวัลอีกเล่มหนึ่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสาระ ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะผลักดันตัวเองออกไปโลดแล่นสู่ระดับสากล

ร้านหนังสือมือสอง

Link ร้านหนังสือมือสอง ที่อยู่ด้านขวามือเป็นการทดลองทำร้านค้าต้นแบบเพื่อส่งอาจารย์ปู่ของ ATOM เองค่ะ ซึ่งตอนนี้เป็นแค่ต้นแบบนะคะยังไม่ได้เปิดบริการจริงๆ แต่จะเปิดให้บริการจริงๆเร็วๆนี้ค่ะ เพราะหนังสือของ ATOM เยอะมากๆๆๆ แถมพอเพื่อนๆพี่ๆน้องๆได้ยินว่า ATOM จะเปิดร้านหนังสือมือสองบนเวป อะโฮ ขนมาให้กันใหญ่เลย รอเดี๋ยวนะเพราะ ATOMอยากอ่านสรุปๆก่อนจะได้เอามาเล่าสู่กันฟังได้ไงคะ เพื่อนๆคนไหนมีหนังสือที่ไม่ได้อ่านแล้วก็ส่งมาให้ ATOM ช่วยขายก็ได้นะคะ mail มาคุยกันได้ค่ะ